ดูดไขมันคืออะไร

ดูดไขมัน 

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการมีรูปร่างที่สวยงาม แต่พยายามมาแล้วทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย หรือผ่านคอร์สลดน้ำหนักมามากมาย ก็ยังไม่ได้ผลรับที่น่าพอใจ ปัจจุบัน การรักษาด้วยการ "ดูดไขมัน" หรือ Liposuction ต้องถือว่าเป็นวิธีมาตรฐานที่มีความปลอดภัย เห็นผลชัดเจน ที่จะช่วยให้คุณมีรูปที่สวยงามได้อย่างต้องการ

 

 

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณอาจไม่สามารถลดสัดส่วนในบางตำแหน่งได้ ทั้ง ๆ ที่น้ำหนักของคุณลดลงมากแล้ว นั่นเป็นเพราะว่า เซลล์ไขมัน ของแต่ละคนจะมีการสะสมในแต่ละตำแหน่งไม่เหมือนกัน เช่นบางคนอาจจะมากบริเวณต้นแขน ต้นขา หรือหน้าท้องอย่างเดียว ทั้งนี้ ปริมาณของเซลล์ไขมันส่วนนึงก็ขึ้นกับพันธุกรรมซึ่งเราก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ นอกจากนี้บางคนถึงแม้ไขมันในบริเวณนั้นน้อยลงแล้วจากการออกกำลังกาย หรือลดน้ำหนัก แต่ก็มักจะกลับมาอ้วนในตำแหน่งนั้นได้ง่าย เป็นเพราะว่า เมื่อคุณผอมลง จำนวนเซลล์ไขมันไม่ได้ลดลง แต่เพียงแค่ลดขนาดลงเท่านั้น การผ่าตัดดูดไขมัน ซึ่งเป็นการทำลายเซลล์ไขมัน จึงเป็นวิธีที่จะทำให้ไขมันในตำแหน่งนั้นของคุณลดลงได้อย่างถาวร

ประวัติการดูดไขมัน

การดูดไขมัน เริ่มต้นมาตั้งแต่ ปี 1960 ตั้งแต่ที่เทคนิคการดูดยังไม่ดีเท่าในปัจจุบัน มีทั้งผลข้างเคียงมาก และมีเลือดออกมาก โดยเริ่มตั้งแต่การใช้ที่ขูดไขมันออก(Curettage) พัฒนามาเป็นการใช้เครื่องดูดสูญญากาศช่วยในการดูดผ่าน แท่งดูดหัวมน (Blunt cannulas with suction assisted) ซึ่งในการดูดไขมันด้วยวิธีนี้ ไขมันจะมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง การดูดจึงมักทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อต่าง ๆ ค่อนข้างมาก และพบผลข้างเคียงมาก เช่นปัญหาเลือดออกมาก ทำให้การดูดไขมันจึงยังเป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยง

ในปี 1990 หลังจากการพัฒนาเทคนิคการดูด มาตลอด 30 ปี ได้เริ่มมีการนำ คลื่น ultrasound มาสลายไขมันให้กลายเป็นของเหลวก่อนที่จะดูด ซึ่งวิธีนี้เองที่ได้พัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ จนทำให้การดูดไขมันในปัจจุบัน ทำได้ง่าย ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ 

นอกจากนี้ในปัจจุบัน ยังได้มีการนำไขมันที่ดูดได้ มาเป็นสารเติมเต็มในตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ใบหน้า เพื่อทำให้ผิวหน้าดูอ่อนเยาว์ได้อีกด้วย

 

 

ความนิยมของการดูดไขมัน

ตำแหน่งของการดูดไขมัน ที่นิยมได้แก่ ต้นแขน หน้าท้อง และต้นขา ในผู้หญิง สำหรับในผู้ชายจะนิยมดูดบริเวณ หน้าอก หน้าท้อง และเอว 

มีการสำรวจของ  American Society for Aesthetic Plastic Surgery ในปี 2011 ว่า การดูดไขมัน เป็นการทำศัลยกรรมตกแต่งที่นิยมมากที่สุด โดยในปี 2006 มีถึง 403,684 คน และในปี 2011 มีถึง 1,268287 คน

เทคนิค ขั้นตอนของการดูดไขมัน ของอิสสวีร์ คลินิค

ปัจจุบันเทคนิคของการดูดไขมันของศัลยแพทย์ รวมถึงของอิสสวีร์คลินิคนั้น จะใช้เป็น Ultrasound - assisted liposuction นั่นคือ การใช้คลื่นอัลตราซาวด์ ในการสลายไขมันก่อนที่จะทำการดูด ซึ่งขึ้นตอนในการดูดไขมันของอิสสวีร์คลินิคจะมีดังนี้

  1. ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินบริเวณที่ต้องการรักษา โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการรักษา รวมถึงการประเมินว่าบริเวณที่ผู้ป่วยกังวลนั้น เหมาะสมต่อการรักษาด้วยวิธีการดูดไขมันหรือไม่
  2. ทำความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมสำหรับการผ่าตัด เช่น การตรวจเลือด การหยุดยาบางชนิด เป็นต้น
  3. ในวันผ่าตัด แพทย์จะทำการตรวจประเมินร่างกายถึงความพร้อมอีกครั้ง 
  4. ในการระงับความเจ็บปวดนั้น วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือ  การฉีดยาชาเฉพาะที่ หรือ local anesthesia (แต่ในคนไข้ที่มีความกลัวมากกว่าปกติ ควรจะเลือกใช้วิธีดมยาสลบ หรือ General anesthesia ซึ่งควรทำในโรงพยาบาลเท่านั้น เนื่องจากมีความเสี่ยงมากกว่า)

ขั้นตอนการผ่าตัดดูดไขมัน

  1. ฉีดยาชา เพื่อเปิดแผล ขนาดประมาณ 0.5-1 cm 
  2. แพทย์จะใช้ เครื่องมือที่เป็นแท่งยาวขนาดเล็ก (Blunt cannula) ใส่น้ำเกลือที่ผสมด้วย ยาชา และยาห้ามเลือด (Tumescent technique) โดยจะใส่เข้าไปจนทั่วชั้นไขมัน ของบริเวณที่ต้องการรักษา ซึ่งหลังจากการฉีด คนไข้จะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดบริเวณนี้แล้ว และจะทำให้ลดปริมาณเลือดที่ไหลระหว่างการทำอีกด้วย
  3. หลังจากการใส่ยาชาจนทั่วแล้ว จะเป็นขั้นตอนของการสลายไขมัน ด้วยคลื่นอัลตราซาวน์ ซึ่งคลื่นอัลตราซาวน์จะส่งพลังงาน สั่นสะเทือนผนังของ เซลล์ไขมันให้แตกออก และสลายเป็นน้ำ ซึ่งปัจจุบันเครื่องมืออัลตราซาวน์นี้ จะสามารถทำลายไขมัน โดยที่ไม่ทำอันตรายต่อเนื้อเยื่ออื่น ๆ เช่นเส้นเลือด หรือเส้นประสาทเลย
  4. เมื่อไขมันแตกสลายเป็นน้ำหมดแล้ว แพทย์จะทำการดูดไขมันออก โดยใช้เครื่องดูดสูญญากาศ 
  5. เมื่อดูดไขมันในชั้นลึกออกหมด แพทย์ของอิสสวีร์จะใช้เทคนิคของ High-definition เพื่อปรับแต่งรูปร่างให้สวยงามได้รูปมากที่สุด
  6. เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนทั้งหมดนี้แล้ว แพทย์จะทำการเย็บแผล ซึ่งแผลจะมีขนาดเล็ก และเย็บไม่เกิน 2 เข็ม 
  7. หลังการผ่าตัด จะมีน้ำเกลือไหลออกมาจากแผลผ่าตัด ไม่เกิน 24-48 ชั่วโมง เพื่อระบายน้ำเกลือและยาชาที่ค้างอยู่ในบริเวณที่ทำการรักษา 
  8. หลังการรักษา แพทย์จะทำการทำความสะอาดบริเวณที่ผ่าตัด และ พันผ้าเพื่อกระชับผิวหนังบริเวณที่ผ่าตัด ให้ยุบบวมและเข้ารูปที่สวยงาม

 

         

 

 

 

ติดต่อเรา/ปรึกษาแพทย์